อังคาร กัลยาณพงศ์ กวีผู้ตวัดถ่าน อ่านกลอน สอนสัจธรรม
‘ ใครดูถูกดูหมิ่นศิลปะ อนารยะไร้สกุลสถุลสัตว์
ราวลิงค่างเสือสางกลางป่าชัฏ ใจมืดจัดกว่าน้ำหมึกดำ
เพียงกินนอนสืบพันธุ์นั้นฤา ชื่อว่าสิ่งประเสริฐเลิศล้ำ
หยาบยโสกักขฬะอธรรม เหยียบย่ำทุกหย่อมหญ้าสาธารณ์
ภพหน้าอย่ามีรูปมนุษย์ จงผุดเกิดในร่างดิรัจฉาน
หน้าติดดินกินขี้เลื้อยคลาน ทรมานทุกข์ร้อนร้ายนิรันดร์เอยฯ ‘
อ่านจบแล้วถึงกับสะดุ้งเฮือก คิดในใจว่ายังโชคดีนะเนี่ยที่เราไม่เคยดูถูกศิลปะ ไม่งั้นมีหวังโดนสาปแช่งให้ไปเกิดใหม่เป็นตัวกินขี้จะซวยไม่ใช่น้อย บทกวีอันมีเนื้อหาทันสมัย ใช้ถ้อยคำดุเดือด และแฝงไปด้วยแง่คิดบทนี้ เป็นหนึ่งในบทกวีนับพันนับหมื่นบทที่ประพันธ์ขึ้นมาโดย อังคาร กัลยาณพงศ์ อัฉริยะบุคคลแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ผู้ซึ่งมีความสามารถรอบด้านในแบบที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน *อังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นลูกกำนันในจังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 แรกเริ่มเดิมทีบิดาตั้งชื่อให้ว่า ‘สมประสงค์’ แต่ไม่นานย่าก็จัดการยึดอำนาจเปลี่ยนชื่อหลานให้เป็น ‘บุญส่ง’ ก็เพราะย่าชอบชื่อนี้มากกว่ามีอะไรอ่๊ะเปล่า *ตอนเล็กๆอังคารเป็นเด็กขี้โรค ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งป่วยเข้าขั้นโคม่าอาการหนักขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ เอาแต่นอนมองฟ้าทำตาปริบๆ แทบจะซี้แหงแก๋ไปแล้ว โชคดีได้หมอเก่งมาช่วยไว้เลยรอดชีวิตมาได้ แต่ก็อยู่ในสภาพสะบักสะบอมจนต้องเริ่มหัดเดินเหินกันใหม่หมดอีกหน
อังคาร เข้าเรียนชั้นประถมที่ โรงเรียนวัดจันทาราม กับโรงเรียนวัดใหญ่จนจบ ป. 4 หลังจากนั้นก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ใหญ่โตและเก่าแก่ ก่อตั้งกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พอเริ่มอ่านหนังสือออก อังคารหลงใหลในวรรณคดีไทย ที่บรรพบุรุษของเรามักแต่งไว้ในรูปแบบของกาพย์กลอน อังคารท่องจำกลอนบทต่างๆได้เป็นอย่างดี และเอื้อนได้ไพเราะเสนาะหูจนมักจะถูกเลือกให้เป็นตัวแทนนักเรียนในการร่ายบทกลอนในงานต่างๆ นอกจากนั้นในเวลาว่าง อังคารยังชอบวาดรูป และปั้นวัด ปั้นเจดีย์ทรายเล่นตามประสาเด็ก
เพราะรักศิลปะมากกว่าจะมานั่งปวดกระหม่อมคิดเลข อังคารจึงเลือกเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเพาะช่าง ที่นั่นท่านได้มีโอกาสเรียนศิลปะกับศิลปินชั้นนำของประเทศอย่าง เฉลิม นาคีรักษ์ ช่วงที่อังคารเรียนอยู่เพาะช่างเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี จนวันหนึ่งมีเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตร บินมาทิ้งระเบิดตั้งใจจะทำลายโรงไฟฟ้าวัดเลียบ และสะพานพุทธสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียน แต่พลาดเป้าลูกระเบิดลอยละล่องมาตกตูมตามที่เพาะช่างแทน ทั้งครูทั้งนักเรียนทั้งแมวทั้งหมาไม่รู้ใครเป็นใครต่างเตลิดหนีตายกันวุ่นวาย คนที่หนีไม่ทันก็ล้มหายตายจากกันไป ส่วนอังคารที่ดวงยังไม่ถึงคาดโชคช่วยอยู่ในกลุ่มที่หลบทัน
จากเพาะช่าง อังคารสอบเข้าเรียนต่อที่คณะจิตรกรรม และประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี พ.ศ. 2488 นับเป็นรุ่นที่ 4 ของมหาวิทยาลัย รุ่นเดียวกับศิลปินที่ภายหลังมีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง ประยูร อุลุชาฎะ และ ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ สมัยนั้นอาจารย์ ศิลป์ พีระศรี ยังกำกับการสอนอยู่ อังคารจึงได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในลูกศิษย์สายตรงของอาจารย์ศิลป์ด้วยเลย
อังคารเรียนอยู่ที่ศิลปากรได้ประมาณ 2 ปีก็ดันไปมีปัญหากับเพื่อนนักเรียนจนต้องถูกเชิญออก พอไม่ได้เรียนช่วงนั้นท่านหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำงานศิลปะเล็กๆน้อยๆ และแต่งกลอนขาย แต่ก็ไม่ได้รายได้อะไรเท่าไหร่ ทำให้มีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบากสุดๆ ต้องอาศัยนอนตามวัด ตามสุสาน และเก็บข้าวบูดมากิน อังคารมองสารรูปตัวเองแล้วคิดว่าดูไม่ต่างจากธุลีที่ไม่มีค่าอะไร จึงเซ็งจัดตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก ‘บุญส่ง’ ที่เหมือนว่าบุญจะไม่ค่อยส่งแล้ว เป็น ‘อังคาร’ ที่หมายความถึงผงเถ้าถ่านที่เหลือจากการเผาศพ ไม่ใช่อังคารที่เป็นชื่อวัน
ด้วยความปลงอังคารบวชเป็นพระอยู่ซักพักจน เฟื้อ หริพิทักษ์ อาจารย์ของอังคารที่มหาวิทยาลัยศิลปากรมาชวนให้ไปช่วยโครงการอนุรักษ์ศิลปกรรมไทยโบราณ โดยการตระเวนคัดลอกลวดลายจิตรกรรมฝาผนัง และรวบรวมข้อมูลของโบราณสถานทั่วประเทศ ทั้งที่ สุโขทัย อยุธยา ศรีสัชนาลัย เพชรบุรี กำแพงเพชร เอาไว้ให้ครบถ้วนเผื่อวันหน้าวันหลังศิลปะของบรรพชนเหล่านี้เกิดผุพังหายไปจะได้มีหลักฐานบันทึกไว้ ทั่งคู่เดินทางไปยังโบราณสถานทั่วเมืองไทยนับพันแห่งใช้เวลาหลายปี ระหว่างนั้นทั้งอังคารทั้งเฟื้อก็เกือบตายแต่เอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดหลายต่อหลายหน เช่นเมื่อครั้งที่ไปลอกลายจิตรกรรมของพระปรางค์องค์หนึ่ง ในบริเวณวัดราชบูรณะ จังหวัดนครศรีอยุธยา หลังจากที่เพิ่งเสร็จงานไม่นานพระปรางค์ก็ถล่มลงมา ถ้าทำงานช้าไปอีกนิดคงได้เป็นผีอยู่เฝ้ากองพระปรางค์เก่านั่นไปแล้ว
นอกจากจิตรกรรมฝาผนัง อังคารยังได้รับความไว้วางใจโดยกรมศิลปากรให้เป็นผู้คัดลอกสมุดข่อยสมัยอยุธยาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ร่วมกับ เฟื้อ เพื่อส่งไปเผยแพร่และเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี.
ด้วยประสบการณ์ในการอนุรักษ์ผลงานศิลปะไทยโบราณ และความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากเฟื้อ หริพิทักษ์ ปรมาจารย์ในด้านนี้ ทำให้อังคารมีความเชี่ยวชาญในเรื่องจิตรกรรมไทยอย่างจัดจ้าน จนสามารถต่อยอดผลิตผลงานแนวสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตนเองได้สำเร็จ อังคารเป็นจิตรกรสมัยใหม่ของไทยที่ไม่ได้อินกับอิทธิพลทางศิลปะของฝรั่งอะไรทั้งนั้น แทนที่จะตามอย่างตะวันตกท่านเลือกที่จะนำความอ่อนช้อยเป็นอิสระของลวดลายที่คิดค้นขึ้นโดยบรรพบุรุษของพวกเราเอง สะท้อนออกมาให้เป็นผลงานศิลปะรูปแบบร่วมสมัยที่ดูสวยงามและเป็นสากลได้อย่างน่าทึ่ง อังคารถนัดในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมด้วยวัสดุโบราณๆอย่างสีฝุ่น แผ่นทองคำเปลว และแท่งถ่าน หรือที่เรียกว่า ‘ชาร์โคล์’ โดยฝีมือปาดชาร์โคล์ของท่านนั้นว่ากันว่าเป็นที่หนึ่งในปฐพี ตวัดยุกยิกขยุกขยิกแป๊บเดียวก็ออกมาเป็นภาพลายกนก พรรณพฤกษา สัตว์ป่าหิมพานต์ ที่ดูที่พลิ้วไหวได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ส่วนในด้านวรรณศิลป์ อังคารเริ่มแต่งกาพย์กลอนได้เองแล้วตั้งแต่สมัยมัธยม ท่านนำบทประพันธ์ในอดีตอย่างของ ศรีปราชญ์ สุนทรภู่ เจ้าฟ้ากุ้ง มาใช้เป็นครู ก่อนจะต่อยอดไปในรูปแบบสมัยใหม่ทีี่เป็นเป็นอิสระไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ในสไตล์ของท่านเอง *อังคารพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กับกวีร่วมสมัยท่านอื่นๆอยู่เสมอ ในสมัยก่อนสถานที่ที่มักใช้นัดกันคือ ‘บ่อนกวี’ ซึ่งก็คือโต๊ะประจำในร้านมิ่งหลีติดกับรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในขาประจำของที่นั่นคือ หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี หรือ ‘ท่านจันทร์’ ที่สนิทชิดเชื้อกับอังคารเป็นพิเศษ ผู้คนที่ผ่านไปมามักพบเห็นกวีคู่นี้ตั้งหัวข้อดวลกวีกันอยู่เสมอ เพราะเหตุนี้หลายๆคนจึงเรียกอังคารว่า ‘ท่านอังคาร’ คู่กันไปด้วยเลย ทั้งๆที่อังคารไม่ได้มีเชื้อเจ้าขุนมูลนายมาจากที่ไหน
อังคารเป็นที่รู้จักเฉพาะในรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร และในหมู่กวีด้วยกันจนได้พบกับ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ‘ส. ศิวรักษ์’ จากคำแนะนำของ อวบ สาณะเสน จิตรกรชื่อดังที่เป็นเพื่อนของบุคคลทั้งคู่ อังคารพาสุลักษณ์เที่ยวชมอยุธยาพร้อมเล่าเก็ดความรู้นู่นนี่นั่นให้ฟังอย่างละเอียด ที่รู้เยอะก็เพราะได้อานิสงส์จากตอนที่มาขลุกตัวอยู่เป็นปีๆตามโบราณสถานกับ เฟื้อ อีกนั่นแหละ เล่าเรื่องอย่างเดียวคงกลัวลูกทัวร์จะฟินไม่พอ อังคารเลยร่ายกลอนให้สุลักษณ์ฟังซะชุดใหญ่ จนสุลักษณ์ที่ก็ถือว่าเป็นนักคิดนักเขียนระดับสุดยอดของประเทศแล้วยังต้องยอมซูฮกให้ พอได้เจอกวีแท้ๆที่มีความสามารถสูงส่งเทียบเคียงได้ยากอย่างนี้ สุลักษณ์ก็ถึงกับเอ่ยปากว่าอยากจะเลิกเขียนกลอนไปเลย
สุลักษณ์ประทับใจในความสามารถของอังคารมาก จึงได้นำบทกวีของอังคารลงตีพิมพ์ในนิตยสารที่ท่านเป็นบรรณาธิการและผู้ก่อตั้งที่มีชื่อว่า ‘สังคมศาสตร์ปริทัศน์’ ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ที่ออกวางแผงเราวพ.ศ. 2506 และเผยแพร่ต่อเนื่องในฉบับต่อๆมาเป็นประจำ ผลงานของอังคารเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นจนมีทั้งคนชมและคนด่า คนชมก็ชอบลีลากาพย์กลอนที่เป็นอิสระไม่มีรูปแบบตายตัว ใช้คำตรงๆแรงๆกระแทกอารมณ์ ส่วนคนด่าก็หาว่าอังคารแต่งกลอนไม่เป็น ฉันทลักษณ์เพี้ยน และใช้คำหยาบคาย อังคารก็ไม่ได้แยแสอะไรมุ่งแต่งกลอนจรรโลงโลกในรูปแบบของท่านเองต่อไป โดยมักมุ่งเน้นเนื้อหาสะท้อนสังคม เช่นความไม่ยุติธรรมของชนชั้น ที่คนด้อยโอกาสยังไงก็อยู่อย่างยากลำบากวันยังค่ำ ในขณะที่อภิสิทธิ์ชนก็มีแต่จะสบายเอาสบายเอา *ความสามารถของอังคารนั้นสูงส่งล้นเส้นเขตแดน ไม่ได้ต้องตาต้องใจเฉพาะแต่นักปราชญ์ในเมืองไทย ครั้งหนึ่งเมื่อ อลัน กินส์เบิร์ก หนึ่งในกวีสมัยใหม่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้มาเข้าใจจินตนาการและเนื้อหาของบทกวีฝีมืออังคารก็ถึงกับอึ้ง จนขอนำไปแปลเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษให้โลกรู้
ไม่นานต่อมาอังคารยังได้รับรางวัลซีไรต์ หรือ รางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปีพ.ศ. 2529 ซึ่งเป็นรางวัลระดับสากล จากผลงานกวีนิพนธ์ที่ชื่อว่า ‘ปณิธานกวี’
และในปีพ.ศ. 2532 อังคารก็ได้รับการเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ไม่ใช่สาขาจิตรกรรมวาดภาพอย่างที่เราเคยเข้าใจ เพราะสมัยก่อนตอนที่มีคนมานำเสนอภาพวาดฝีมืออังคาร เขาบอกว่าท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ เราก็หลงคิดว่าท่านได้ตำแหน่งมาจากความสามารถด้านการวาดอยู่ตั้งนาน นับว่าเรานี่ก็ดักดานพอตัว
ด้วยรางวัลเกียรติยศประดับประดามากมาย อังคารไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านี้ซักเท่าไหร่ ท่านมองว่าคนเราเกิดมาต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า สร้างคุณงามความดีและประโยชน์ทิ้งไว้ให้ส่วนรวม อย่าเอาแต่หาความสุขความสบายเข้าตัวให้คนอื่นนินทาว่าเกิดมารกโลก นั้นเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำอยู่แล้ว
อังคารเปรียบเปรยว่ามนุษย์ชอบไปตั้งจุดหมายสูงสุดในชีวิตให้สิ่งอื่น เช่นตั้งจุดหมายให้ฝูงเป็ด ว่าสุดท้ายพวกมันจะได้กลายเป็นเป็ดพะโล้ แต่ไม่ค่อยคิดจะตั้งจุดหมายชีวิตให้กับตนเอง สำหรับอังคารแล้วจุดหมายสูงสุดของท่านทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆไป คือการได้เป็นกวีร้อยเรียงบทประพันธ์อันแฝงไว้ด้วยแง่คิด ที่จะช่วยยกระดับจิตใจมนุษย์ให้ดีงามบริสุทธิ์ อังคารใช้เวลาทั้งชีวิตเดินตามเป้าหมายจวบจนวาระสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ถึงในวันนี้ชีวิตของอังคารจะดับสูญตามกาลเวลา ไปรอเกิดในภพภูมิใหม่เพื่อเป็นกวีในอีกทุกชาติตามที่ท่านมุ่งมั่นตั้งใจ แต่บทกวีจากชาตินี้ของอังคารจะยังคงอยู่เป็นนิรันด์ดังบทกลอนของท่านที่ว่า
‘ นิพนธ์กวีไว้เพื่อกู้ วิญญาณ
กลางคลื่นกระแสกาล เชี่ยวกล้า
ชีวีนี่มินาน เปลืองเปล่า
ใจเปล่งแววทิพย์ท้า ตราบฟ้าดินสลายฯ ‘
และก่อนจากกันในคราวนี้ขอส่งท้ายด้วยบทกวีที่อังคารไม่ได้แต่ง แต่เป็นดั่งแรงบันดาลใจให้เราตั้งจุดหมายในชีวิตว่า
‘ ดันเกิดมาเสพย์ติดศิลปะ ไม่ว่าจะภาพสิ่งของคนหรือสัตว์
เจอะทีไรใจร้อนรุ่มซื้อรวบรัด หน้ามืดจัดกว่าน้ำหมึกดำ
เพียงแขวนบ้านนอนดูเล่นนั้นฤา ยังไม่ถือเป็นสิ่งประเสริฐล้ำ
ร่วมเผยแพร่เชิดชูสิควรทำ บิลด์ให้ล้ำนำหน้าทุกวงการ
ภายภาคหน้าหากมีตังค์เป็นกุรุส จะอุตลุดสร้างพิพิธภัณฑสถาน
เพื่อมุ่งหน้าทำตามปณิธาน สืบสานศิลป์ไทยให้นิรันดร์เอยฯ ‘