ตื่นรู้เพราะดูหนัง ชีวิตที่พลิกผันของ ประเทือง เอมเจริญ 

ตอนที่พระเจ้าตากยกทัพไปตีเมืองจันทบุรี พระองค์ตรัสสั่งให้ไพร่พลกินข้าวกินปลาให้อิ่มแปร้ แล้วจัดการทุบหม้อข้าวหม้อแกงให้หมดซะ ถ้าบุกเมืองได้มื้อต่อไปก็ไปหุงหาอาหารในเมืองกัน แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ให้อดตายไปพร้อมๆกัน ได้ยินเรื่องนี้ทีไรก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวของศิลปินไทยท่านหนึ่ง ที่รักศิลปะอย่างกับพระเจ้าตากรักชาติ เลือกใช้ยุทธวิธีไปตายเอาดาบหน้าจนเกือบจะได้ตายไปเลยจริงๆ ทุ่มแบบหมดหน้าตักขนาดนี้คงมีแต่ ประเทือง เอมเจริญ เท่านั้นที่กล้าทำ

          ประเทือง เอมเจริญ เกิดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2478 ณ บ้านริมคลองบางไส้ไก่ จังหวัดธนบุรี ถิ่นพระเจ้าตาก ปัจจุบันจังหวัดนี้ไม่มีในแผนที่เพราะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯไปแล้ว ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 จาก 3 คนของนายชิต และ นางบุญช่วย ที่ฐานะทางครอบครัวไม่สู้จะดีซักเท่าไหร่ ประเทืองเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเทศบาลวัดสุทธาวาสใกล้ๆบ้าน แต่พอจบ ป. 4 บิดาของท่านผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวก็ถึงแก่กรรม ประเทืองจึงจำใจต้องออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยที่บ้านทำงานหารายได้ แทนที่จะได้เรียนหนังสือวิ่งเล่นกับเพื่อนๆตามประสาเด็ก ประเทืองต้องกระเสือกกระสนทำงานหนักทั้ง ทำสวน ขายขนม แบกหาม ตีเหล็ก เสิร์ฟกาแฟ และอาชีพจิปาถะอื่นๆอีกร้อยแปด

          มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ประเทือง และพี่ชาย งอนแม่ที่มีสามีใหม่เลยพากันหนีออกจากบ้านไปเป็นคนร่อนเร่พเนจร ชำนาญ เอมเจริญ พี่ชายของประเทือง จบจากเพาะช่างจึงมีความรู้ด้านศิลปะ พาประเทืองไปตระเวนรับจ้าง ออกแบบเขียนป้ายโฆษณา ทาสีศาลพระภูมิ ไม่เกี่ยงแม้กระทั่ง ล้างรถ หรืองานอะไรก็ได้ถ้ามีคนจ้าง วันไหนมีงานก็ได้รายได้แค่พอซื้อข้าวซื้อน้ำประทังชีวิต วันไหนไม่มีงานก็ต้องอดข้าวดื่มน้ำคลองไป ไม่มีเงินพอที่จะไปเช่าห้องหับที่ไหนให้ซุกหัวนอน กลางค่ำกลางคืนเลยต้องอาศัยนอนกับคนอนาถา หมา และยุงตามสวนสาธารณะ อยู่อย่างนั้นครึ่งปีจนทั้งคู่ซูบผอมใกล้ตายถึงได้ตัดสินใจบากหน้ากลับไปหาแม่ที่บ้านตามเดิม  

          หลังกลับมาอยู่บ้าน พี่ชายของประเทืองได้งานทำที่บริษัททำป้ายชื่อว่า ‘เอสจันโฆษณา’ เลยพาน้องชายซึ่งมีวุฒิแค่ ป.4 ไปฝากงานด้วย ประเทืองเริ่มงานประจำที่บริษัท โดยการเป็นพนักงานทำความสะอาด และเป็นลูกมือเตรียมสีให้ช่างเขียน ได้รับเงินเดือนเดือนแรก 80 บาท ประเทืองทำงานอย่างขยันขันแข็งเคียงคู่ไปกับการเรียนรู้เทคนิคการเขียนป้ายจนได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นช่างใหญ่เงินเดือนนับ 1000 บาทได้อย่างรวดเร็ว บริษัทเอสจันโฆษณามีเจ้าของเป็นคนจีนที่ทุกคนเรียกว่า ‘ซิงแซ’ ซึ่งประเทืองนับถือเป็นครูศิลปะคนแรกในชีวิต เมื่อว่างจากงาน ซิงแซมักจะนั่งวาดภาพเป็นงานอดิเรก ส่วนประเทืองก็ชอบไปยืนดูและคอยรับใช้ล้างพู่กัน เสิร์ฟน้ำ ซิงแซชอบปาดสีเร็วๆหนาๆลงไปบนภาพตามสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ ทั้งๆที่ใช้พู่กันป้ายสีออกมาเป็นภาพเหมือนกัน แต่ภาพวาดของซิงแซนั้นช่างให้ความรู้สึกแตกต่างกับป้ายโฆษณาที่ประเทืองเขียนอยู่ทุกวัน สิ่งที่เห็นจึงแปลกใหม่และตื่นตาตื่นใจสำหรับประเทืองผู้ไม่เคยเล่าเรียนศิลปะมาก่อนเลยเป็นอย่างมาก

ประเทือง เอมเจริญ
ดวงตาแห่งจักรวาล, 2514
101 x 103 ซม.
สีน้ำมันบนกระดานไม้

          ระหว่างที่ทำงานอยู่ที่เอสจันโฆษณาประเทืองมักใช้เวลาในวันหยุดไปช่วยงานน้องชาย ประเสริฐ เอมเจริญ ที่ทำอาชีพวาดภาพประกอบในโรงหนังและมีงานล้นมือจนทำไม่ทัน หนังเรื่องใหม่ออกมาฉายแต่ละทีก็ต้องวาดภาพชุดใหม่ยกชุด หนังใหม่เข้าโรงเดือนละหลายๆเรื่อง แถมโรงหนังใหม่ๆก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ประเทืองช่วยไปช่วยมาจนเวลาที่มีในวันหยุดไม่พอ ก็เลยตัดสินใจลาออกมาเป็นช่างเขียนภาพประกอบหนังเหมือนน้องชายด้วยอีกคน ประเทืองฝีมือดี งานไว ทำให้ค่อยๆเป็นที่รู้จักในวงการ ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำถึงเดือนละหลักหมื่นซึ่งไม่เรียกว่าเยอะแต่ต้องเรียกว่าโคตรเยอะในสมัยเมื่อ 60 ปีที่แล้วที่ทองยังราคาบาทละแค่ 400 หนุ่มติสท์ มีชื่อเสียง หน้าที่การงานดี ก็ย่อมจะฮอตเป็นธรรมดา ท่านพบภรรยาในเวลาไล่เรี่ยกันถึง 2 ท่าน คือ ‘คำยอด’ กับ ‘นิตยา’ ครอบครัวที่ขยายใหญ่มี 2 ศรีภรรยาบวกกับลูกๆที่ทยอยเกิดขึ้นมาถูกจัดสรรให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้อย่างปกติสุขโดยมีประเทืองเป็นที่พึ่งของบ้าน 

          ในช่วงนั้นประเทืองใช้เวลาว่างจากงานและครอบครัวไปกับการศึกษาศิลปะด้วยตนเองโดยการ พบปะแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้รู้ ดูนิทรรศการ ดูหนังสือจากต่างประเทศ ดูคอนเสิร์ต ดูละคร และดูหนัง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เสียค่าตั๋วเพราะเป็นคนวาดภาพประกอบเอง ประเทืองชอบดูหนังเป็นพิเศษไม่ใช่เพราะดูฟรีแต่เพราะคิดว่าภาพยนต์เป็นการนำศิลปะทุกแขนงทั้ง วรรณกรรม จิตรกรรม ดนตรี การแสดง มารวมไว้ในที่เดียว ถ้าตั้งใจดูดีๆก็จะช่วยเปิดมุมมองทางศิลปะได้มาก จนวันหนึ่งประเทืองได้ดูหนังฝรั่งเรื่อง ‘ลัสต์ ฟอร์ ไลฟ์’ ที่จั่วหัวเป็นภาษาไทยว่า ‘แรงปรารถนา เพื่อชีวิต’ นำแสดงโดย ‘เคิร์ก ดักลาส’ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวประวัติของ ‘วินเซนต์ แวนโก๊ะ’ ศิลปินชาวดัทช์ผู้ซึ่งมีชีวิตอันอาภัพแต่กลับมาโด่งดังคับฟ้าเมื่อเจ้าตัวลาโลกไปแล้ว ประเทืองชอบหนังเรื่องนี้มากถึงขั้นคลั่งไคล้ ดูซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะแสดงแทนเคิร์กได้เลยเพราะจำบทได้ครบทุกฉาก

         ชีวิตของแวนโก๊ะสะกิดใจให้ประเทืองหันกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า จุดมุ่งหมายหลักในชีวิตที่แท้จริงคืออะไร? ประเทืองมองว่างานที่ทำอยู่ถึงแม้จะทำให้ชีวิตสุขสบายด้วยเงินเดือนมหาศาล แต่ก็เป็นแค่การรับจ้าง ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจใคร ไม่ได้สร้างสรรค์คุณค่าอะไรทิ้งไว้ให้มวลมนุษย์ เหมือนใช้ชีวิตแค่เกิดมาแล้วตายไปอย่างไร้ความหมาย คิดได้ดังนั้นแล้วเลยกลับบ้านไปกอดแม่กอดเมียเพื่อประกาศว่า ต่อไปนี้จะเลิกอาชีพวาดภาพประกอบหนังอย่างเด็ดขาด และจะเริ่มเป็นศิลปินขนานแท้ที่สร้างสรรค์เฉพาะศิลปะบริสุทธิ์อย่างเต็มตัว ได้ยินได้ฟังดูแล้วที่บ้านก็คงงงๆอยู่ว่ากินยาผิดซองหรือเปล่าแต่ก็สนับสนุนความตั้งใจอย่างเต็มที่ 

          ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. 2505 ประเทืองมีอายุได้ 27 พอดี การตัดสินใจมุ่งมั่นเป็นศิลปินอย่างปัจจุบันทันด่วนเรียกได้ว่าเป็นการเอาชีวิตไปเดิมพันขนานแท้ ทั้งๆที่งานเดิมที่ทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ปากท้องลูกเมียและแม่ที่แก่ชราก็ยังต้องเลี้ยงดู อีกทั้งวงการศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทยตอนนั้นก็เพิ่งจะเริ่มต้น หอศิลป์ซักแห่งก็ไม่มี ศิลปะยังเป็นเรื่องแปลกใหม่ห่างไกลจากชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ ผลงานศิลปะไม่ได้มีราคาไม่เป็นที่นิยมซื้อหากันเหมือนสมัยนี้ จะวาดภาพไปขายใครยังแทบจะนึกไม่ออก

          พอประเทืองเริ่มเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์แต่ผลงานศิลปะ อุปสรรคก็ค่อยๆมีเข้ามาทีละเรื่องสองเรื่องจนมากมายอีรุงตุงนังเกินคาด แรกๆหวังจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆข้างบ้านชื่อ ‘อาร์ท แอนด์ จอย’ ไว้หารายได้พอเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ถึงสตาร์บัคส์ยังไม่มาแต่รอบๆก็มีคู่แข่งเยอะซะเหลือเกิน เปิดได้ซักพักก็ทนขาดทุนไม่ไหว เจ๊งไปตามระเบียบ วันหนึ่งลูกชายที่ยังเล็กก็ร้องไห้กระจองอแงไม่หยุดหย่อนพอพาไปหาหมอ ก็พบว่าเป็นมะเร็งและอยู่ได้ไม่นานก็เสียชีวิต แม่ของประเทืองพออายุมากขึ้นก็เริ่มมีอาการป่วยทางจิต วันดีคืนดีเอามีดทิ่มคอตัวเองเลือดสาดต้องหามส่งโรงพยาบาล ด้วยปัญหาที่ประดังเข้ามาผลงานภาพวาดของประเทืองในยุคแรกเริ่มนี้เลยดูดำเมี่ยม มืดตึ๊ดตื๋อ แต่ละฝีแปรงเปรียบประดุจรอยเลือดและน้ำตาของคนวาด เวลาล่วงเลยไปหลายปีผลงานสไตล์แรงๆล้ำๆสะท้อนอารมณ์เศร้าที่ประเทืองสร้างขึ้นมานั้นขายไม่ได้เลยซักกะชิ้น

          พอไม่มีรายได้นานเข้าครอบครัวที่เคยมีกินมีใช้ก็เริ่มอัตคัดเข้าขั้นยากจน ผักบุ้งจิ้มน้ำพริกแทบจะเป็นอาหารหลักในทุกมื้อจนลูกเมียขาดสารอาหาร บ้านช่องก็เริ่มผุพัง ประตูแหว่ง หลังคาโหว่ กลางค่ำกลางคืนก็อยู่กันแบบมืดๆเพราะโดนตัดไฟ จะออกไปไหนก็ต้องคอยหลบๆซ่อนๆเพราะรอบๆบ้านมีแต่เจ้าหนี้คอยตามทวงตังค์ ไม่นานบ้านที่คลองบางไส้ไก่ที่เอาไปค้ำประกันเงินกู้ก็หลุดจำนอง ทั้งครอบครัวต้องพากันย้ายไปอยู่ที่ใหม่แถวๆบางแค

          ประเทืองปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่เนี๊ยบเหมือนสมัยทำงานประจำ ผมเผ้า หนวดเครา ยาวรกรุงรัง ใส่ชุดสีดำซอมซ่อชุดเดิมซ้ำๆ ไปที่ไหนก็ถูกรังเกียจด้วยรูปลักษณ์ มิหนำซ้ำยังถูกเหยียดหยามจากคนในแวดวงศิลปะหลายต่อหลายคนที่มองประเทืองว่าเป็นพวกไม่มีการศึกษา ไม่มีปริญญาศิลปะจากสถาบันไหนติดตัว ดูถูกว่ายังไงชาตินี้ประเทืองคงจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากได้ในฐานะศิลปินได้ พอเป็นซะอย่างนี้เพื่อจะให้เป็นที่ยอมรับ ประเทืองเลยต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่าเพราะไม่มีก๊กไม่มีเหล่าคอยช่วยผลักดัน 

          ซวยซ้ำซวยซ้อนซะขนาดนี้ที่ประเทืองยังไม่เป็นบ้าหรือฆ่าตัวตาย แต่ยังมีความหวังก้มหน้าก้มตาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะต่อไป เพราะตลอดชีวิตของท่านตั้งแต่ยังเล็กได้พบเจอความทุกข์ยากผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จนมีจิตใจที่กล้าแกร่ง และถึงชีวิตจะยากลำบากแสนสาหัสอย่างไร ก็ยังมีครอบครัว, พี่น้อง, และเพื่อนศิลปินร่วมอุดมการณ์อย่าง จ่าง แซ่ตั้ง, กมล ทัศนาชาลี, สมเกียรติ ปานะสิริศิลป์, สมชัย หัตถกิจโกศล, สุชาติ วัจนดิลก คอยเป็นกำลังใจ และหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ตามกำลัง

          บนเส้นทางศิลปะอันมืดมิดของประเทือง แสงสว่างแห่งความสำเร็จเริ่มจะมองเห็นอยู่รำไรเมื่อท่านส่งผลงานเข้าประกวดในงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ื 17 ประจำปี พ.ศ. 2510 ผลงานที่ส่งไปเป็นภาพแนวนามธรรมที่มีชื่อว่า ‘เลือดทองคอนกรีต’ ปรากฎว่าสามารถคว้ารางวัลเหรียญเงินมาได้ พร้อมเงินรางวัลอีก 5000 บาทที่ถูกเอาไปใช้ปลดหนี้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นในปีต่อๆไปประเทืองก็ส่งผลงานเข้าประกวดอีกและได้รับรางวัลอีกหลายรางวัลจนสาธารณชนเริ่มรู้จัก ประเทืองค่อยๆมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่สนใจศิลปะแวะเวียนมาขอความรู้ที่บ้านเพิ่มขึ้น จนวันหนึ่งมีคณะครูมาดูงาน ประเทืองได้พบกับครูสาวนามว่า ‘บุญยิ่ง’ ทั้งคู่รักใคร่ชอบพอกัน จนตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยา ครอบครัวที่ใหญ่อยู่แล้วของประเทืองจึงมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกคน

           ประเทืองเริ่มมีชื่อเสียงและค่อยๆขายผลงานศิลปะได้ จากภาพวาดสมัยอดมื้อกินมื้อที่ดูมืดๆทึมๆ ประเทืองพัฒนาผลงานชุดต่อๆมาให้มีสีสันสว่างไสวยิ่งขึ้นโดยใช้ดวงอาทิตย์เป็นแรงบันดาลใจ ประเทืองตื่นแต่ไก่โห่เพื่อไปแหงนคอรอดูดวงอาทิตย์ตั้งแต่แสงแรกของรุงอรุณ พิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงของเฉดสีของแสงในแต่ละช่วงเวลาของวัน จนพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไป เพ่งดูแสงอาทิตย์จนตาแทบบอดแล้วจำเอามาวาดเป็นภาพนามธรรมของ จักรวาล ดาวฤกษ์ และรูปทรงต่างๆ ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดยุบยิบและสีสันจัดจ้านน่าประทับใจ

          ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่รัฐบาลออกมาปราบปรามนักศึกษาในวันที่14 ตุลาคม 2516 จนมีผู้เสียชีวิตมากมาย ประเทืองก็เริ่มสร้างผลงานที่สะท้อนความรู้สึกเกี่ยวกับการเมืองออกมาหลายชิ้น ภาพธงชาติ กระโหลก หยดเลือด ปืน รูกระสุน ถูกสร้างสรรค์ออกมาเพื่อเตือนสติผู้ชมให้ระลึกถึงวันมหาวิปโยคนั้นและช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีก ภาพชุดนี้กลายเป็นภาพชุดประวัติศาสตร์ในวงการศิลปะไทยที่มักถูกหยิบยกมากล่าวถึงเสมอในเรื่องความสำนึกรับผิดชอบของศิลปินที่มีส่วนช่วยในการจรรโลงสังคม

         เมื่อบ้านเมืองกลับมาสงบอีกครั้งประเทืองก็กลับไปค้นหาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ก้มหน้าก้มตามองรายละเอียดของ กรวด หิน ดิน ทราย หยดน้ำ ใบไม้ ใบหญ้า เดินทางไกลออกไปซึมซับความรู้สึกของ ป่าเขา ทุ่งนา แม่น้ำ และ ทะเล ถ่ายทอดความประทับใจจากสรรพสิ่งรอบตัวสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ ภาพวาดของประเทืองถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นแนวนามธรรม แต่ก็เป็นภาพที่ตีความได้ไม่ยาก องค์ประกอบ รายละอียด สีสัน ดูสวยงามอย่างไม่ต้องลังเลใจ

         ควบคู่ไปกับการวาดภาพประเทืองมักประพันธ์บทกวีพรรณนาความรู้สึกนึกคิดต่างๆที่พรั่งพรูออกมา ท่านเคยเปรียบตนเองดั่งดอกไม้เล็กจิ๋วริมทาง ที่จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีชูช่อผลิบานให้กว้างให้สวยที่สุด ก่อนที่วันหนึ่งดอกไม้นั้นจะหมดแรงเหี่ยวแห้งไป ไม่สนว่าใครจะเดินมาเจอะมาสนใจหรือไม่ แค่ได้ทำเต็มที่และดีที่สุดในวันที่ยังทำได้ก็ภูมิใจแล้ว 

          เหมือนว่าดอกไม้ดอกจิ๋วดอกนั้นวันนี้จะเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ชื่อเสียงของประเทืองโด่งดังขึ้นเรื่อยๆจนขึ้นชั้นเป็นศิลปินแถวหน้าของประเทศที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งผู้ที่ในอดีตเคยดูถูกเหยียดหยามก็ต้องยอมศิโรราบ จากความสำเร็จในการใช้ชีวิตแบบทุ่มหมดตัวให้กับศิลปะ ท่านได้รับยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ จิตรกรรม เมื่อ พ.ศ. 2548 

         ปัจจุบันประเทืองในวัยทะลุ 80 ยังคงสร้างผลงานศิลปะอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ท่านย้ายจากกรุงเทพฯไปอยู่กาญจนบุรี และเปิด ‘หอศิลป์เอมเจริญ’ เอาไว้บนที่ดินริมแม่น้ำแม่กลองเพื่อใช้จัดแสดงผลงานศิลปะให้สาธารณชนได้มีโอกาสชื่นชมดื่มด่ำ 

          รับรู้เรื่องราวชีวิตอันสุดวิบากของ ประเทือง เอมเจริญ กันแล้ว บอกไว้ก่อนว่าทั้งหมดนี้เป็นความสามารถที่แสนพิเศษเฉพาะตัว ถ้าไม่ชัวร์อย่าลอกเลียนแบบ ที่เตือนนี่เพราะเป็นห่วงกลัวว่าอ่านเสร็จจะด่วนตัดสินใจไปลาออกจากงาน แล้วเดินตามความฝันอันแสนหวานกันหมด ใจเย็นๆก่อนนะจ๊ะ 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึก