ดูเพลิน เงินงอก เสน่ห์ของการลงทุนในงานศิลปะ
“เมื่อนับวันผู้คนยิ่งมีการศึกษาที่ดี มีรายได้ที่สูงขึ้น ก็ยิ่งเริ่มเห็นคุณค่าของสมบัติบ้าเหล่านี้ และอยากจะได้มาไว้ครอบครองชื่นชม เมื่อ ‘อุปสงค์’ เพิ่ม แต่ ‘อุปทาน’ มีเท่าเดิม ราคาก็ต้องขึ้นเป็นธรรมดา”
ยังจำได้แม่นตอนนั้นเป็นช่วงต้นปี พ.ศ. 2556 ตื่นขึ้นมามองไปรอบๆห้องนอนแล้วอยู่ดีๆก็รู้สึกว่ากำแพงข้างๆทีวีมันดูโล่งโจ้ง น่าจะหารูปภาพอะไรซักอย่างมาแขวนไว้ ตกเย็นเลยไปบ่นให้เพื่อนรุ่นพี่คนนึงฟัง
เขาบอกให้ลองไปที่บ้านแฟนของเขาซึ่งเป็นนักสะสมศิลปะดู เผื่อจะได้คำแนะนำหรือได้ภาพอะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง หลังจากนั้นไม่กี่วันแฟนพี่เขาก็ยินยอมให้เราไปบุกบ้าน พี่เจ้าของบ้านเขาเมตตาพาเราเดินเข้าห้องนู้นผ่านห้องนี้แบบไม่มีกั๊กโชว์ภาพวาด และรูปปั้น ฝีมือศิลปินไทยที่พี่เขาบอกว่ามีชื่อเสียงหลายสิบชิ้น แต่ละชิ้นก็ดูสวยดี แต่ด้วยความไม่รู้ประสีประสาศิลปินที่เขาพูดถึงเกือบทั้งหมดถึงจะเจ๋งยังไงเราก็แทบจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนเลยซักกะคน เว้นแต่ ถวัลย์ ดัชนี กับ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่พอจะคุ้นๆชื่อหน่อยเพราะออกทีวีบ่อย
ก่อนกลับพี่เขาให้ดูภาพวาดที่หมกๆไว้ไม่มีที่แขวน เล็งไปเล็งมาเราดันไปถูกใจภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบภาพหนึ่ง เป็นภาพช้างสีดำวาดด้วยแปรงแบบเร็วๆ ฝีแปรงและรอยสีหยดที่ซ่านกระเซ็นให้ความรู้สึกเหมือนช้างตัวนั้นกำลังตกมันดิ้นพล่านอยู่อย่างคลุ้มคลั่งเพื่อที่จะหลุดออกจากกรอบรูปอันเป็นพันธนาการมากระทืบอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ตรงหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง ภาพนี้วาดโดย ถวัลย์ ดัชนี เราเลียบๆเคียงๆถามพี่เขาว่าพอจะแบ่งให้ได้ไหมและราคาประมาณเท่าไหร่ สรุปว่าเขาก็ไม่ได้หวงอะไร และยังใจดีขายให้เท่าทุนซึ่งไอ้เท่าทุนนี่ไม่ใช่ห้าบาทสิบบาทแต่ราคาพอๆกับรถอีโค่คาร์คันเล็กๆคันนึง ตอนนั้นก็คิดในใจว่าซวยละทีนี้ ภาพอื่นๆที่สบายกระเป๋ากว่ามีตั้งเยอะแยะทำไมไม่มอง ดันไปจิ้มเอาตัวท๊อปซะงั้น วันนั้นถึงจะชอบยังไงก็ยังทำใจซื้อไม่ไหวเพราะตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยจ่ายเงินกองโตขนาดนี้สำหรับภาพวาดมาก่อน เราเลยเจรจาขอยืมเอาภาพนั้นมาลองแขวนกำแพงห้องนอนดู ถ้าสวย และมีขนาดพอดีถึงค่อยตัดสินใจ
แล้วก็เป็นดังคาด พอกลับมาบ้านภาพช้างนั้นยิ่งมองยิ่งสวยถูกใจ ขนาดเหมาะเหม็งกับกำแพงยังกับเกิดมาเพื่อกันและกัน แถมสีภาพ และสีกรอบรูปยังเข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์ในห้องอีก อะไรมันจะพอดีขนาดนั้น วันรุ่งขึ้นเลยจำใจโทรหาพี่เขาแต่เช้าบอกว่าจะขอรับอนุเคราะห์ช้างดำไว้แล้วจะรีบโอนเงินให้
บ่ายวันนั้นที่สยามพารากอนเรายืนอยู่หน้าตู้เอทีเอ็มสีเขียวด้วยความลังเลใจ พอวินาทีที่จะกดปุ่มสุดท้ายเพื่อโอนเงิน เราก็เปลี่ยนใจเดินไปกินไอติมถ้วยโตให้ใจร่มอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงกลับมาที่หน้าตู้เอทีเอ็มใหม่ พอกำลังจะกดปุ่มสุดท้ายอีกทีคราวนี้ก็เกิดปวดฉี่กระทันหัน ตัดสินใจไปเดินหาห้องน้ำก่อนอีก ฉี่เสร็จก็เดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่นอยู่พักใหญ่จนในที่สุดก็กลั้นหายใจวิ่งไปที่ตู้เอทีเอ็มเป็นครั้งที่ 3 แล้วหลับหูหลับตาโอนค่าภาพวาดไป ภาพช้างดำเลยกลายเป็นงานศิลปะชิ้นแรกในชีวิตที่เรายอมลงทุนจริงๆจังๆ จนเดือนนั้นต้องเน้นหม่ำมาม่าประทังชีวิต
ความรู้สึกตอนจ่ายค่าภาพนั้นคล้ายๆกับโดนปล้น ทุกวันที่นอนมองภาพช้างดำก็จะพยายามดื่มด่ำกับศิลปะอย่างเดียวแล้วลืมๆไปไม่คิดถึงตัวเลขค่าเสียหาย วันเวลาคล้อยไปไม่กี่เดือนจู่ๆก็มีรุ่นพี่ที่ซื้อขายงานศิลปะโทรมาขอแบ่งภาพช้างพร้อมเสนอราคาให้อย่างงาม จากราคาอีโค่คาร์กลายเป็นมูลค่าเท่าซีดานหรู ถึงวันนั้นเราจะยังบ่ายเบี่ยงไม่ตัดสินใจปล่อยแต่ก็ช่วยเปลี่ยนความรู้สึกจากที่เหมือนโดนปล้นให้เป็นความรู้สึกเหมือนถูกหวยชุดใหญ่ในบัดดล
ว่ากันว่าการลงทุนในของสะสมนั้นเป็นการลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงไม่แพ้การลงทุนประเภทอื่นๆ แถมดีไม่ดีอาจจะมีลูกฟลุ๊คทำกำไรได้เป็นสิบเป็นร้อยเท่าก็เห็นกันอยู่บ่อยๆ ของสะสมที่จะเพิ่มมูลค่าได้ ต้องเป็นของที่มีคุณค่าทางใจ มีจำนวนจำกัด มีแฟนคลับเยอะอย่างเช่น แสตมป์ เหรียญ ธนบัตร พระเครื่อง วัตถุโบราณ นาฬิกา รถยนต์ เพชร กระเป๋าถือ ไวน์ และ งานศิลปะ เมื่อนับวันผู้คนยิ่งมีการศึกษาที่ดีมีรายได้ที่สูงขึ้น ก็ยิ่งเริ่มเห็นคุณค่าของสมบัติบ้าเหล่านี้และอยากจะได้มาไว้ครอบครองชื่นชม เมื่อ ‘อุปสงค์’ เพิ่ม แต่ ‘อุปทาน’ มีเท่าเดิม ราคาก็ต้องขึ้นเป็นธรรมดา
ราคาจะขยับแค่ไหน หลายองค์กรในเมืองนอกเขามีการเก็บสถิติมูลค่าของของสะสมทั่วโลกเพื่อจัดทำเป็นดัชนีชี้วัดความน่าสนใจในการลงทุน อย่างเช่นดัชนี Knight Frank’s Luxury Investment Index ที่เผยแพร่เป็นประจำทุกปี พบว่าในปี พ.ศ. 2560 ของสะสมที่มีมูลค่าเฉลี่ยเพิ่มมากที่สุดประจำปี คือ งานศิลปะ ที่เพิ่มขึ้นถึง 21% ตามมาด้วย ไวน์ 11% และ นาฬิกา 5%
การลงทุนกับของสะสมนั้นสร้างความเพลิดเพลินมากกว่าการลงทุนแบบปกติเช่นการซื้อตราสาร หรือตามดูหุ้นเป็นไหนๆ ของสะสมช่วยสร้างงานอดิเรกคลายความเครียด รู้สึกสนุกท้าทายเมื่อต้องออกไปตามหา พอได้มาก็เอามากอดจูบลูบคลำหนุนนอนได้ หลับฝันดีไม่ต้องกลัวตลาดผันผวนหรือเศรษฐกิจพังครืน เพราะของพวกนี้เป็นสมบัติจริงๆที่จับต้องได้ไมใช่เป็นแค่ตัวเลขในกระดาษ สามารถคงไว้ซึ่งมูลค่าตลอดชั่วกัลปาวสานถ้าไม่สูญหายหรือผุพังเป็นผุยผงไปเสียก่อน
หากใครคิดจะเริ่มลงทุนในของสะสม โดยเฉพาะงานศิลปะที่ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงสุด ก็ควรเริ่มจากการศึกษาหาความรู้จากทุกทางทั้งอ่านตำหรับตำรา ถามผู้รู้ เอาให้เชี่ยวชาญพอที่จะเล่าได้เป็นฉากๆเสียก่อน ไม่ใช่ตื่นมาเห็นกำแพงว่าง แล้วไปบุกบ้านแฟนรุ่นพี่แบกภาพวาดช้างกลับมาเลยแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จะให้ดีพยายามหาโอกาสดูงานศิลปะรูปแบบต่างๆผ่านตาให้มากๆทั้งจากภาพในหนังสือ ไปดูในแกลเลอรี่ ในพิพิธภัณฑ์ ให้รู้ว่าชอบงานแบบไหนและพยายามกำหนดธีมเอาไว้ ที่แนะให้มีธีมเพราะพวกเราไม่ใช่สุลต่านอาหรับที่มีเงินถุงเงินถังพอจะเก็บทุกอย่างในโลกตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบได้ คอลเล็คชั่นที่มีธีมให้โฟกัสนั้นยังน่าสนใจและสร้างให้เจ๋งสุดๆได้ไม่ยาก โดยไม่ต้องถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว
ธีมที่ว่านี้อาจจะเป็น เนื้อหาของผลงานเช่น เก็บแต่ภาพวิว เก็บแต่ภาพหุ่นนิ่ง เก็บแต่ภาพเหมือนบุคคล เก็บแต่ภาพนู้ด อันนี้อาจจะดูหื่นหน่อยๆแต่ถ้าอ้างเป็นศิลปะซะก็พอจะรับได้ หรือธีมตามสไตล์ของผลงาน เช่นเก็บแต่แนวอิมเพรสชั่นนิสม์ เก็บแต่แนวประเพณีไทย ธีมอาจจะกำหนดด้วยตัวศิลปิน เช่นเก็บแต่ผลงานของศิลปินคนนั้นคนนี้ เก็บให้ลึกไปเลยตั้งแต่สมัยเด็ก สมัยค้นหาตัวเอง สมัยดังแล้ว สมัยแก่ การกำหนดช่วงเวลาก็เป็นอีกธีมได้ เช่นเก็บแต่งานศิลปะสมัยใหม่ของไทยตั้งแต่ยุคบุกเบิกจนถึงยุคปัจจุบัน ลองพยายามรวบรวมของในคอลเล็คชั่นให้มีเนื้อหาสอดคล้องกันแบบที่ตามพิพิธภัณฑ์ระดับโลกเขาทำกัน คอยเติมเต็มแต่จิกซอว์ที่ขาดหาย อย่าไปเที่ยวซื้อหามาอย่างสะเปะสะปะ
นักสะสมรุ่นเก๋าในวงการมักสอนว่าให้เลือกผลงานศิลปะชิ้นที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังของเราจะซื้อไหว ถ้าวันนี้มีงบ 100 บาทอย่าซื้อ 10 บาท 10 ชิ้น แต่ให้ซื้อ 100 บาทชิ้นเดียว คอลเล็คชั่นที่ดีไม่ได้อยู่ที่จำนวนแต่อยู่ที่คุณภาพ พูดง่ายๆคือมีน้อยๆแต่เน้นๆดีกว่ามีเป็นกองพะเนินเทินทึกแต่มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ยกตัวอย่างคอลเล็คชั่นของ ‘เป๊กกี้ กุกเกนไฮม์’ ที่ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในบ้านของเธอในเวนิส ประเทศฝรั่งเศส เคยไปเดินนับๆดูผลงานศิลปะที่เห็นน่าจะมีโชว์อยู่ประมาณร้อยชิ้นแต่ทุกชิ้นเด็ดๆทั้งนั้นแถมยังอยู่ในธีมเดียวกันอีก ห้องไม่กี่ห้องในบ้านรวมถึงสวนและสนามหญ้าถูกนำมาใช้จัดวางผลงานศิลปะอย่างสวยงามลงตัว เราประทับใจที่นี่พอๆกับตอนไปเดินดูงานศิลปะที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ในกรุงปารีสเลย ทั้งๆที่ในลูฟวร์มีของจัดแสดงอยู่เป็นจำนวนมากกว่านับหมื่นนับแสนเท่า
อีกทริคที่เขาแนะกันมาสำหรับผู้ที่ริจะสะสมงานศิลปะ ถ้าเน้นเอาให้ชัวร์ และมีงบประมาณเหลือแหล่จะเก็บแต่ศิลปินชื่อดังเปรี้ยงปร้างก็ตามใจ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องศึกษาผลงานของศิลปินท่านนั้นในแต่ละช่วงแต่ละสไตล์ให้ดีเสียก่อนจะได้เลือกจิ้มถูก เพราะถึงศิลปินจะเก่งแต่ผลงานก็ไม่ใช่จะเด่นทุกชิ้น ในทางกลับกันถ้าไม่มุ่งเก็บแต่ผลงานของศิลปินแบรนด์เนม ก็ไม่ต้องใช้ตังค์เยอะแยะอะไร คอยตามดูและอุดหนุนศิลปินหน้าใหม่ ก็มีสิทธิ์ได้ของดีราคาไม่แพง ถ้าหวังจะให้การลงทุนมีมูลค่าเพิ่มพูนก็พิจารณาดูหน่วยก้านของศิลปินที่เราจะอุ้มชูเขาซะหน่อยว่าพอจะมีอนาคตไหม สืบประวัติดูว่าเคยแสดงผลงานที่ไหนมาบ้าง ได้รับรางวัลอะไร ผลงานดูน่าสนใจมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครไหม ที่สำคัญคือมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานศิลปะอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า ไม่ใช่ปีนี้เขียนภาพอยู่ดีๆ ปีหน้าหนีไปขายเต้าฮวย
มีตัวอย่างนักสะสมงานศิลปะที่ไม่ได้มีงบประมาณมากมายแต่ค่อยๆเก็บรวบรวมด้วยความหลงใหลจนกลายเป็นตำนานเช่น คู่สามีภรรยา ‘เฮอร์เบิร์ต โวเกล’ ที่ทำงานแยกจดหมายอยู่การไปรษณีย์ และ ‘โดโรธี โวเกล’ ทีี่รับจ๊อบเป็นบรรณารักษ์อยู่ในห้องสมุดสาธารณะ ด้วยเงินเดือนที่ไม่มาก ทั้งคู่เช่าอพาร์ทเมนต์เล็กๆถูกๆอยู่ในกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ครอบครัวนี้อยู่อย่างประหยัด ไม่มีรถ ไม่ไปเที่ยว เน้นกินอาหารกล่องอยู่บ้าน แต่ที่ไม่เหมือนใครคือทุกๆเดือนจะเจียดเงินไปซื้อผลงานศิลปะจากศิลปินหน้าใหม่ที่มีแววมาเก็บไว้เรื่อยๆ ซื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่แพงและมีขนาดพอที่จะหิ้วขึ้นรถไฟใต้ดินกลับมาบ้านไหว ถ้าบางชิ้นราคาสูงหน่อยก็ขอผ่อนเอา ทำอย่างนี้มา 50 ปีจนมีผลงานศิลปะหมกไว้ใต้โต๊ะตู้เตียงทุกซอกทุกมุมในอพาร์ทเมนต์เกือบ 5000 ชิ้น แถมมีผลงานของศิลปินหลายคนที่ตอนซื้อยังโนเนมแต่ตอนนี้กลายเป็นคนดังรวมอยู่ด้วยเพียบ ทำให้คอลลเล็คชั่นของสองสามีภรรยาคู่นี้มีมูลค่าเพิ่มเป็นหลายล้านเหรียญ นับเป็นหนึ่งในคอลเล็คชั่นศิลปะหลังปี ค.ศ. 1960 ที่สำคัญที่สุดในอเมริกา
แทนที่ เฮอร์เบิร์ต และ โดโรธี จะขายสมบัติเอาเงินไปซื้อคฤหาสถ์ รถหรู เรือยอร์ช หรือ เที่ยวรอบโลก พวกเขาเลือกที่จะบริจาคผลงานศิลปะที่มีให้กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติในกรุงวอชิงตันดีซี ด้วยเหตุผลว่าพิพิธภัณฑ์นี้มีนโยบายไม่ขายงานศิลปะที่ได้รับบริจาค และไม่เคยเก็บเงินค่าเข้าชม สาธารณชนจะได้มีโอกาสมาดูงานศิลปะที่ เฮอร์เบิร์ต และ
โดโรธี รวบรวมมาทั้งชีวิตแบบฟรีๆ ต้องยอมใจเฮียกับเจ๊แกเลยจริงๆ ไอ้เราก็เป็นคนบ้าจี้เห็นใครทำดีก็คันไม้คันมืออยากจะก๊อปเอาไปเป็นแบบอย่าง เลยปรึกษากับภรรยาว่าตอนเราแก่ตัวน่าจะทำแบบนี้บ้าง
ที่เล่ามาว่าการสะสมศิลปะนั้นเป็นการลงทุนที่ดีอย่างงู้นอย่างงี้ แต่เพื่อไม่ให้ถูกครหาเลยยังต้องลงท้ายแบบโฆษณาชี้ชวนการลงทุนว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน’ ความเสี่ยงที่ว่ามีอยู่หลายเรื่อง เช่น โดนหลอกขายของเก๊ จ่ายแพงผิดราคา ความนิยมลดราคาตก จัดเก็บไม่ดีทำให้สีซีด ขึ้นรา ปลวกกิน จริงอยู่ที่ผลงานศิลปะชิ้นเด็ดๆราคาโดนใจนั้นหาคนซื้อได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้มีสภาพคล่องแบบปุ๊บปั๊บทันใจเหมือน ขายทอง ขายหุ้น ที่จู่ๆอยากแลกเป็นเงินสดแล้วสามารถเดินไปเยาวราช หรือโทรหาโบรกเกอร์แล้วก็แลกได้เลย อีกทั้งถ้าจะขายผลงานศิลปะผ่านคนกลางอย่างแกลเลอรี่ หรือบริษัทประมูลต้องเตรียมใจไว้ก่อนเลยว่าไม่ใช่ถูกๆ ค่าคอมมิชชั่นต้องมี 10-20 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย
สำหรับเราและเพื่อนๆนักสะสมคนคอเดียวกันที่มีอาการของโรคลูกอีช่างเก็บกำเริบขั้นร้ายแรง การดั้นด้นไปเสาะแสวงหาผลงานศิลปะมาไว้รายล้อมรอบตัวแต่ละชิ้นนั้นจุดประสงค์ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาขายให้ได้กำไรอะไรหรอก ที่ทำเพราะชอบเพราะรักล้วนๆ พอรู้ว่าของที่เก็บมีราคาขึ้นก็ใช้เป็นเหตุผลในการซื้อเพิ่มมาใหม่ไม่ให้รู้สึกผิดเวลาจ่ายตังค์ เราว่านี่แหละคือความเสี่ยงสูงสุดในการลงทุนสะสมศิลปะ หวงนักหวงหนาปวารณาว่าชาตินี้ไม่คิดจะขายแล้วกำไรมันจะไปงอกอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน